โรงเรียนบ้านมะขามเอน

หมู่ที่ 7 บ้านมะขามเอน ตำบล ท่าเคย อำเภอ สวนผึ้ง จังหวัด ราชบุรี 70180

Mon - Fri: 9:00 - 17:30

086 1735248

ความทรงจำในวัยเด็ก

ความทรงจำในวัยเด็ก

ความทรงจำในวัยเด็ก

ความทรงจำในวัยเด็ก ตอนนี้ฉันอายุอานามเข้าสู่ปีที่หกสิบแล้ว เป็นธรรมดาที่คนแก่ๆ อย่างฉันจะนึกถึง เรื่องราวในอดีต ที่ผ่านมา  เป็นภาพความทรงจำสมัยยังเป็นเด็ก…ถ้าใครเข้าใจ  Moment  ของคนที่เกิดตามชนบท  ช่วงที่ฉันยังเด็กจะรู้ว่าในต่างจังหวัดยังไม่เจริญนัก  ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึงหมู่บ้าน  ชาวบ้านจะใช้เชื้อเพลิงที่สามารถหามาได้เองตามธรรมชาติตามมีตามเกิด  เช่น  การหุงต้มอาหาร  จะใช้ฟืนหรือถ่านสีดำ ๆ ได้จากการใช้กิ่งไม้สด ๆ มาตัดเป็นท่อน ๆ เรียงใส่เตาถ่าน  จุดไฟเผา  3-4  วัน  จากนั้นก็จะเปิดเตาเผา  คุ้ยถ่านที่ยังติดไฟอยู่  ใช้น้ำพรมถ่านที่คุ้ยออกมาใหม่ ๆ ให้ดับทั่วกัน  ตากแห้ง  เก็บไว้ในร่ม  เพื่อที่จะได้ใช้หุงข้าว-ต้มแกง  ในชีวิตประจำวันในวันต่อ ๆ ไปได้  หากใครจะขายถ่านก็ขายได้ในราคาไม่กี่สลึงนั่นเอง

ส่วนวิถีชีวิตอีกเรื่องหนึ่งคือ  การรีดเสื้อผ้าก็จะใช้เตารีดที่ใส่ถ่าน  ติดไฟ  ลงในตัวเตารีด  ปิดฝาล็อก  มีที่จับด้านบน  ส่วนผ้ารองรีดก็จะใช้ผ้าห่มที่เราใช้ห่ม  ค่อนข้างหนา  พับให้ได้ขนาดพอเหมาะ  ใช้ผ้าขาวม้าปูคลุมด้านบนสุดเป็นที่รองรีดผ้าอย่างดี  เพื่อป้องกันความร้อนจากถ่านร้อน ๆ  และไม่ให้เกิดรอยไหม้  ฉันใช้สิ่งที่มีประยุกต์ใช้ประโยชน์ให้ได้หลากหลายที่สุด 

สมัยนั้นจะรีดผ้าแต่ละครั้งเป็นเรื่องใหญ่  ที่ยุ่งยาก  ไม่ได้ใช้เตารีดเสียบปลั๊ก  หรือเตารีดไอน้ำเหมือนปัจจุบัน  จึงต้องรวบรวมเสื้อผ้าสมาชิกในครอบครัวซักให้สะอาด  แล้วนำมารีดพร้อม ๆ กันครั้งละเยอะ ๆ  จะได้ไม่ต้องรีดหลายรอบ   รีดเสร็จไปเลยทีเดียว  จะรีดเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องใส่ไปทำบุญที่วัด  ไปงานมงคล  เช่น  งานบวช  งานแต่ง  และงานพิธีต่าง ๆ  รวมถึงต้องรีดชุดไปทำงาน  และชุดนักเรียนเท่านั้น  พอพูดถึงตอนใส่ชุดนักเรียน  เมื่อใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน  กลับมาบ้านต้องรีบถอด  ใส่ไม้แขวนเสื้อ  ผึ่งให้แห้ง  เช้าวันถัดไปก็ใส่ชุดเดิม  กลับมาก็ทำแบบเดิม 2-3 ครั้งจึงจะซัก  กรณีที่คนใส่รักษาความสะอาดได้ค่อนข้างดีก็จะทำได้แบบนี้  ถ้าซุกซนมาก ๆ ชุดนักเรียนก็จะมอมแมม  โดยเฉพาะเสื้อด้านหน้าก็เป็นเรื่องที่ปฏิบัติอย่างชุดนักเรียนกรณีแรกไม่ได้  เดี๋ยวจะกลายเป็นสะสมขี้ไคล  เพิ่มความซกมกเข้าไปอีก

จุดสำคัญของเรื่องตามชื่อเรื่องเลย  ก็เวลาทำการบ้านนี่แหล่ะ  อ่านหนังสือในตอนกลางคืน  ต้องใช้ตะเกียง  เติมน้ำมันก๊าดจุดไม้ขีดให้แสงสว่าง  แต่ริบหรี่  ลมพัดมาที  เปลวตะเกียงก็พลิ้วไหวไปมาตามแรงลม  ถ้าใช้ตะเกียงโป๊ะก็จะสะดวกที่สุด  หิ้วไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกลัวว่าลมจะพัดให้ตะเกียงดับ 

วัยเด็กในวันนั้น ๆ เป็นเรื่องสนุก  มีความสุขมากที่สุด  วันปกติก็ไปโรงเรียนกัน  มีเพื่อนเล่นเยอะแยะ  วันหยุดอยู่บ้านก็เล่นกับญาติพี่น้องวัยใกล้เคียงกัน  สลับกับผู้ใหญ่เรียกใช้งานเป็นระยะ  ค่อย ๆ เรียนรู้  ซึมซับถึงการใช้ชีวิตประจำวันในครอบครัวผ่านการเล่นซุกซน  เลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่  รู้จักการพึ่งพาลำแข้ง  ช่วยเหลือตัวเองก่อนที่จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น  อยู่กับธรรมชาติ  อากาศบริสุทธิ์ตามต่างจังหวัด  มีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ทำ 

ได้ออกกำลังกายเต็มที่ทุก ๆ วัน  ทุกคนจะไม่มีเวลาเจ็บป่วยเป็นไข้อะไรเลย  ภูมิต้านทานดีมากเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่มีแต่โรคแปลกๆ  เข้ามา  หากเป็นไข้จริง ๆ  นาน ๆ จะมีบ้าง  เสร็จภารกิจประจำวันพากันไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายตามแหล่งน้ำใกล้บ้าน  ถ้ามีคลองก็อาบในคลอง  แต่ถ้ามีโอ่งก็ใช้ขันตักน้ำในโอ่งอาบน้ำเอา  รับประทานอาหารเย็นตอนค่ำ  และต้องทำการบ้านก่อนนอน 

ช่วงที่นอนคว่ำเหยียดยาวใช้หมอนรองข้อศอกเขียน-อ่าน  มันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการพักผ่อน  สบายตัว  สบายพุง (อิ่ม)  เกิดอาการเพลียอยากนอน  จนแอบเผลองีบลงไป  หน้าผากจะเอนไปหาตะเกียงหรือเทียน  เปลวไฟก็จะแว๊บ ๆ ไหม้ลูกผม  ขนตาเป็นประกาย  ฉันมักจะเป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำ  จึงเป็นที่มาของ “ขนตาหาย”  ถือว่ายังโชคดีที่ยังไม่มีอัคคีภัยในบ้าน  หรือไฟคลอกไปเสียก่อน  เป็นการยืนยันพฤติกรรมกับคุณครูที่โรงเรียนได้เป็นอย่างดีในเช้าถัดมา  

ฉันไปโรงเรียนด้วยสภาพขนตาหายไปเกือบเป็นแถบ  รวมทั้งร่องรอยของลูกผมที่ไหม้  ทิ้งรอยแหว่งที่ฟ้องให้เห็นได้ชัด  ทำเอาเพื่อน ๆ  ในห้อง หรือใคร ๆ จะเห็นเรื่องนี้เป็นความตลกขบขันไปเลย  ฉันยอมรับว่าฉันอายมาก  แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย  ฉันก็ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  มั่นใจตัวเองเข้าไว้  และยอมรับความเป็นจริง   ขนตากุดเดี๋ยวมันก็ยาวออกมาใหม่ได้ไม่แปลก  ทำไมเราต้องอายใครด้วยเรื่องจิ๊บจ๊อย ?  แต่นั่นเองก็เป็นความทรงจำสมัยเด็ก ๆ  ที่ย้อนกลับมานึกถึงคราวใดก็รู้สึกดี  และมีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงมัน 

จนลูกฉันเติบโตขึ้น  เรื่องในวัยเด็กนั้นฉันได้มีโอกาสเล่าให้ลูกสาวของฉันสองคนฟัง  แต่ลูกสาวของฉันไม่ขบขัน  กลับตกใจเสียมากกว่าว่าทำไมเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น  ในฐานะที่ฉันเป็นแม่บอกว่ามันเป็นเรื่องผ่านมานานหลายปีแล้ว  ไม่เห็นจะต้องตกใจขนาดนี้เลย  แต่ฉันก็เข้าใจนะว่าลูกคงห่วงเรื่องความปลอดภัยนี่แหล่ะ  อย่างที่ลูกคนโตพูด  “โชคดีของแม่นะ  ดีที่ไม่เกิดไฟไหม้  ถ้าไฟไหม้นี่วุ่นวายกันทั้งบางชัวร์”  ฉันเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน  ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเรื่องร้ายในชีวิตฉันแทนก็เป็นได้

แม้ว่าบางความทรงจำจะดีหรือร้าย  จะตลกหรือไม่  แต่อดีตที่ผ่านมาก็ยังเป็นเรื่องเล่าให้ลูกหลานตนเองฟังได้เมื่อตัวเองแก่ตัวลง  อย่างไรเสียความทรงจำก็คือความทรงจำอยู่วันยังค่ำ  เพราะมันจะอยู่กับเราไปชั่วชีวิตของเรานี่แหล่ะ  เรายังเอาความทรงจำของเราเล่าให้ลูกหลานฟังในเรื่องการระวังตัวได้ดี  โดยเฉพาะกรณีขนตาหายอย่างฉัน  และเพื่อเป็นการป้องกันที่ดีในอนาคต  โดยเฉพาะถ้าบ้านไหนมีเด็กก็ควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด  ไม่ให้ไปเล่นอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า  คำว่าอันตรายมันอยู่ใกล้แค่คืบเสมอ  บางทีอาจจะเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว  หรือไม่คาดคิดก็ได้