ความทรงจำในวัยเด็ก
ความทรงจำในวัยเด็ก ตอนนี้ฉันอายุอานามเข้าสู่ปีที่หกสิบแล้ว เป็นธรรมดาที่คนแก่ๆ อย่างฉันจะนึกถึง เรื่องราวในอดีต ที่ผ่านมา เป็นภาพความทรงจำสมัยยังเป็นเด็ก…ถ้าใครเข้าใจ Moment ของคนที่เกิดตามชนบท ช่วงที่ฉันยังเด็กจะรู้ว่าในต่างจังหวัดยังไม่เจริญนัก ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านจะใช้เชื้อเพลิงที่สามารถหามาได้เองตามธรรมชาติตามมีตามเกิด เช่น การหุงต้มอาหาร จะใช้ฟืนหรือถ่านสีดำ ๆ ได้จากการใช้กิ่งไม้สด ๆ มาตัดเป็นท่อน ๆ เรียงใส่เตาถ่าน จุดไฟเผา 3-4 วัน จากนั้นก็จะเปิดเตาเผา คุ้ยถ่านที่ยังติดไฟอยู่ ใช้น้ำพรมถ่านที่คุ้ยออกมาใหม่ ๆ ให้ดับทั่วกัน ตากแห้ง เก็บไว้ในร่ม เพื่อที่จะได้ใช้หุงข้าว-ต้มแกง ในชีวิตประจำวันในวันต่อ ๆ ไปได้ หากใครจะขายถ่านก็ขายได้ในราคาไม่กี่สลึงนั่นเอง
ส่วนวิถีชีวิตอีกเรื่องหนึ่งคือ การรีดเสื้อผ้าก็จะใช้เตารีดที่ใส่ถ่าน ติดไฟ ลงในตัวเตารีด ปิดฝาล็อก มีที่จับด้านบน ส่วนผ้ารองรีดก็จะใช้ผ้าห่มที่เราใช้ห่ม ค่อนข้างหนา พับให้ได้ขนาดพอเหมาะ ใช้ผ้าขาวม้าปูคลุมด้านบนสุดเป็นที่รองรีดผ้าอย่างดี เพื่อป้องกันความร้อนจากถ่านร้อน ๆ และไม่ให้เกิดรอยไหม้ ฉันใช้สิ่งที่มีประยุกต์ใช้ประโยชน์ให้ได้หลากหลายที่สุด
สมัยนั้นจะรีดผ้าแต่ละครั้งเป็นเรื่องใหญ่ ที่ยุ่งยาก ไม่ได้ใช้เตารีดเสียบปลั๊ก หรือเตารีดไอน้ำเหมือนปัจจุบัน จึงต้องรวบรวมเสื้อผ้าสมาชิกในครอบครัวซักให้สะอาด แล้วนำมารีดพร้อม ๆ กันครั้งละเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องรีดหลายรอบ รีดเสร็จไปเลยทีเดียว จะรีดเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องใส่ไปทำบุญที่วัด ไปงานมงคล เช่น งานบวช งานแต่ง และงานพิธีต่าง ๆ รวมถึงต้องรีดชุดไปทำงาน และชุดนักเรียนเท่านั้น พอพูดถึงตอนใส่ชุดนักเรียน เมื่อใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน กลับมาบ้านต้องรีบถอด ใส่ไม้แขวนเสื้อ ผึ่งให้แห้ง เช้าวันถัดไปก็ใส่ชุดเดิม กลับมาก็ทำแบบเดิม 2-3 ครั้งจึงจะซัก กรณีที่คนใส่รักษาความสะอาดได้ค่อนข้างดีก็จะทำได้แบบนี้ ถ้าซุกซนมาก ๆ ชุดนักเรียนก็จะมอมแมม โดยเฉพาะเสื้อด้านหน้าก็เป็นเรื่องที่ปฏิบัติอย่างชุดนักเรียนกรณีแรกไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นสะสมขี้ไคล เพิ่มความซกมกเข้าไปอีก
จุดสำคัญของเรื่องตามชื่อเรื่องเลย ก็เวลาทำการบ้านนี่แหล่ะ อ่านหนังสือในตอนกลางคืน ต้องใช้ตะเกียง เติมน้ำมันก๊าดจุดไม้ขีดให้แสงสว่าง แต่ริบหรี่ ลมพัดมาที เปลวตะเกียงก็พลิ้วไหวไปมาตามแรงลม ถ้าใช้ตะเกียงโป๊ะก็จะสะดวกที่สุด หิ้วไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกลัวว่าลมจะพัดให้ตะเกียงดับ
วัยเด็กในวันนั้น ๆ เป็นเรื่องสนุก มีความสุขมากที่สุด วันปกติก็ไปโรงเรียนกัน มีเพื่อนเล่นเยอะแยะ วันหยุดอยู่บ้านก็เล่นกับญาติพี่น้องวัยใกล้เคียงกัน สลับกับผู้ใหญ่เรียกใช้งานเป็นระยะ ค่อย ๆ เรียนรู้ ซึมซับถึงการใช้ชีวิตประจำวันในครอบครัวผ่านการเล่นซุกซน เลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่ รู้จักการพึ่งพาลำแข้ง ช่วยเหลือตัวเองก่อนที่จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น อยู่กับธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ตามต่างจังหวัด มีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ทำ
ได้ออกกำลังกายเต็มที่ทุก ๆ วัน ทุกคนจะไม่มีเวลาเจ็บป่วยเป็นไข้อะไรเลย ภูมิต้านทานดีมากเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่มีแต่โรคแปลกๆ เข้ามา หากเป็นไข้จริง ๆ นาน ๆ จะมีบ้าง เสร็จภารกิจประจำวันพากันไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายตามแหล่งน้ำใกล้บ้าน ถ้ามีคลองก็อาบในคลอง แต่ถ้ามีโอ่งก็ใช้ขันตักน้ำในโอ่งอาบน้ำเอา รับประทานอาหารเย็นตอนค่ำ และต้องทำการบ้านก่อนนอน
ช่วงที่นอนคว่ำเหยียดยาวใช้หมอนรองข้อศอกเขียน-อ่าน มันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการพักผ่อน สบายตัว สบายพุง (อิ่ม) เกิดอาการเพลียอยากนอน จนแอบเผลองีบลงไป หน้าผากจะเอนไปหาตะเกียงหรือเทียน เปลวไฟก็จะแว๊บ ๆ ไหม้ลูกผม ขนตาเป็นประกาย ฉันมักจะเป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำ จึงเป็นที่มาของ “ขนตาหาย” ถือว่ายังโชคดีที่ยังไม่มีอัคคีภัยในบ้าน หรือไฟคลอกไปเสียก่อน เป็นการยืนยันพฤติกรรมกับคุณครูที่โรงเรียนได้เป็นอย่างดีในเช้าถัดมา
ฉันไปโรงเรียนด้วยสภาพขนตาหายไปเกือบเป็นแถบ รวมทั้งร่องรอยของลูกผมที่ไหม้ ทิ้งรอยแหว่งที่ฟ้องให้เห็นได้ชัด ทำเอาเพื่อน ๆ ในห้อง หรือใคร ๆ จะเห็นเรื่องนี้เป็นความตลกขบขันไปเลย ฉันยอมรับว่าฉันอายมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย ฉันก็ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มั่นใจตัวเองเข้าไว้ และยอมรับความเป็นจริง ขนตากุดเดี๋ยวมันก็ยาวออกมาใหม่ได้ไม่แปลก ทำไมเราต้องอายใครด้วยเรื่องจิ๊บจ๊อย ? แต่นั่นเองก็เป็นความทรงจำสมัยเด็ก ๆ ที่ย้อนกลับมานึกถึงคราวใดก็รู้สึกดี และมีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงมัน
จนลูกฉันเติบโตขึ้น เรื่องในวัยเด็กนั้นฉันได้มีโอกาสเล่าให้ลูกสาวของฉันสองคนฟัง แต่ลูกสาวของฉันไม่ขบขัน กลับตกใจเสียมากกว่าว่าทำไมเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ในฐานะที่ฉันเป็นแม่บอกว่ามันเป็นเรื่องผ่านมานานหลายปีแล้ว ไม่เห็นจะต้องตกใจขนาดนี้เลย แต่ฉันก็เข้าใจนะว่าลูกคงห่วงเรื่องความปลอดภัยนี่แหล่ะ อย่างที่ลูกคนโตพูด “โชคดีของแม่นะ ดีที่ไม่เกิดไฟไหม้ ถ้าไฟไหม้นี่วุ่นวายกันทั้งบางชัวร์” ฉันเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเรื่องร้ายในชีวิตฉันแทนก็เป็นได้
แม้ว่าบางความทรงจำจะดีหรือร้าย จะตลกหรือไม่ แต่อดีตที่ผ่านมาก็ยังเป็นเรื่องเล่าให้ลูกหลานตนเองฟังได้เมื่อตัวเองแก่ตัวลง อย่างไรเสียความทรงจำก็คือความทรงจำอยู่วันยังค่ำ เพราะมันจะอยู่กับเราไปชั่วชีวิตของเรานี่แหล่ะ เรายังเอาความทรงจำของเราเล่าให้ลูกหลานฟังในเรื่องการระวังตัวได้ดี โดยเฉพาะกรณีขนตาหายอย่างฉัน และเพื่อเป็นการป้องกันที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะถ้าบ้านไหนมีเด็กก็ควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ให้ไปเล่นอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า คำว่าอันตรายมันอยู่ใกล้แค่คืบเสมอ บางทีอาจจะเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว หรือไม่คาดคิดก็ได้