สตรีศรีสยาม
สตรีศรีสยาม ที่จังหวัดนครปฐมครับมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งสองสามีภรรยานี้หนีตามกันมาเมียชื่อนางอรผัวชื่อนายตี๋ สองคนนี้มี ลูกสาวหน้าตาน่ารัก ผู้เป็นแม่ก็เลยตั้งชื่อว่านางอุ๊ นายตี๋นั้นมีอาชีพรับจ้างทั่วไปรับจ้างขายผลไม้รายได้ไม่มากมายแต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
แต่หนังอรมีความมุ่งมั่นว่าลูกสาวจะต้องได้คนรวยเป็นสามีก็เลยไม่ค่อยให้ลูกสาวหยิบจับอะไร ขอให้แต่ให้พ่อกับแม่ทำให้เพราะกลัวลูกจะไม่สวยไม่งาม กลัวนิ้วจะไม่สวยก็จะแตกไปเรียนหนังสือก็หัวไม่ดีพอจบป 4 จะขึ้นป 5 ก็ไม่ยอมไปเรียนอยากจะอยู่บ้านทีแรกนายตี๋ก็เป็นทุกข์ที่ลูกสาวไม่เรียนหนังสือแต่นางอรก็บอกว่าช่างมันเถอะพี่ มันก็อ่านหนังสือออกแล้ว เดี๋ยวมันโตความสวยของมันก็จะทำให้มันได้ดีเองล่ะพี่
แม่อุ๊นั้นแม้แต่หุงข้าวก็ยังหุงไม่เป็น เสื้อผ้าก็ไม่เคยซักเองตั้งแต่เด็กแต่ว่านอกบ้านนั้นหนางอรผู้เป็นแม่จะคุยกับเพื่อนบ้านแล้วก็เพื่อนที่ทำงานเสมอว่าได้ลูกดีมีมารยาทดีรับรองว่าโตขึ้นต้องเป็นกุลสตรีแน่นอน แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นนั่งกินข้าวแล้วก็ไม่ล้าง เสื้อผ้าถอดแล้วก็ไม่ซักแถมยังไม่ใส่ตะกร้ากางเกงในก็ถอดม้วนรวมกันเป็นเกลียว ไม่เคยแยกจากชุดชั้นนอกบางทีถอดแล้วก็เตะกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง
ไม่พ่อกับแม่กลับมาก็ต้องมาซักผ้าให้ลูก ถ้วยชามก็ต้องตามเก็บอยู่หน้าทีวีบ้างไปอยู่ห้องนอนบ้างแล้วแต่อุ๊จะใส่ไปกินที่ไหน วันหนึ่งนางอรก็สั่งลูกสาวว่า “ถ้าฝนจะตกนะเก็บผ้าด้วยนะลูกแม่กับพ่อออกไปก็ปิดประตูรั้วให้ดีนะลูกนะ” นางอรสั่งแล้วก็ไปทำงานเกือบจะบ่ายฝนตั้งเค้ามาทำท่าจะตกลมพัดแรงแทนที่จะสนใจกลับเปิดเพลงดังนอนกระดิกเท้าฟังเฉย
ทางที่ลมพัดมาอย่างแรงจนฝนเทลงมาก็เฉยไม่ลงไปเก็บยังดีว่านางอรผู้เป็นแม่นะปิดหน้าต่างห้องนอนทุกครั้งก่อนจะไปทำงานไม่งั้นก็สาดเปียกหมดส่วนบ้านอื่นก็ยังดีที่ยังปิดให้ตกเย็นตอนกลับมาเห็นผ้าไม่ได้เก็บบางตัวก็ตกอยู่กับพื้นพร้อมไม้แขวนก็เกิดอาการอ่อนใจครั้งแล้วครั้งเล่าที่เป็นแบบนี้ “ทำไมไม่เก็บผ้าให้แม่บ้างล่ะลูกมันเปียกอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะแห้งบางตัวแม่ก็ต้องซักใหม่นะแม่เหนื่อยนะ”
นั่นก็เป็นครั้งแรกที่อรดุลูก “แม่จะบ่นอะไรนักหนาเสื้อผ้าก็มีตั้งหลายตัวตัวอื่นไม่แห้งก็ไม่เห็นจะเป็นไรตัวไหนมันตกเลอะเทอะก็โยนทิ้งไปบ้างก็ได้ไม่ใช่ว่ามันจะใหม่ทุกตัวเก่าซะมากกว่าหนูขี้เกียจเก็บอย่าวุ่นวายกับหนูมากนะ” นางอรผู้เป็นแม่คนเงียบอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองไม่ได้สอนลูกให้ทำงานตั้งแต่เล็กแต่น้อยเราผิดเองวันเวลาผ่านไปจนอายุได้ 15 ปี จนวันนึงก็โวยวาย “แม่อยู่ไหนพ่ออยู่ไหนมาหาหนูหน่อยซิอรกับตี๋ก็ตกใจ”
“ทำไมล่ะ มีอะไรลูกเป็นอะไร” “หนูมีประจำเดือนน่ะค่ะ” “โธ่พ่อแม่ตกใจหมดเดี๋ยวรอเช้ากว่านี้ก่อนไปทำก่อนไปทำงานแม่จะไปซื้อผ้าอนามัยให้นะ” “จะบ้าเหรอแม่คนเปื้อนไปหมดอยากจะให้รอเช้าผ้าปูที่นอนก็เปื้อนรอเช้าได้ไง” “งั้นเดี๋ยวแม่ขี่รถเครื่องไปซื้อที่เซเว่นให้นะลูกไปอาบน้ำก่อนไปลูกไปเอาผ้าปูไปแช่ผงซักฟอกไว้ก่อนนะเอาไปแช่ไว้เดี๋ยวมันซักไม่ออก”
แต่ตี๋ผู้เป็นพ่อก็บอกว่า “เออนี่เธอไปหุงข้าวเถอะเดี๋ยวพี่จะไปซื้อเองซอยที่จะไปมันไกลกว่าจะไปถึงเซเว่น” “มันจะดีเหรอพี่พี่เป็นผู้ชายนะไม่อายเขาเหรอไปซื้อผ้าอนามัย” “ จะอายทำไมถ้ามันยังไม่ได้ใช้สักหน่อยใครจะว่ายังไงก็ช่างมันดิไปสนใจทำไม” แต่อุ๊ก็ไม่ได้เอาผ้าปูที่นอนไปแช่ตามที่แม่สั่งหรอก ดึงออกจากที่นอนก็โยนไว้มุมห้องแล้วแทนที่จะเอาผ้าปูพื้นใหม่ในตู้มาปูใหม่กลับเอาผ้าห่มมาปูแทนเพราะว่าขี้เกียจปูใหม่
แม่นั้นยุ่งกับงานก็ลืมเรื่องผ้าปูที่นอนของลูกอีก 2 วันถึงนึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นลูกเอาผ้ามาแช่ไว้ให้ตัวเองซะก็คิดว่าลูกคงจะซักเองก็หลงดีใจพี่ตี๋สงสัยลูกมันซักผ้าเองมั้งไม่เห็นมันแช่ให้ฉันซักเลยพี่เราไปหาลูกไปชื่นชมมันหน่อยนะลูกจะได้ดีใจอ่อนกับตี๋ก็เปิดประตูห้องนอนลูกสาวทำอะไรอยู่ลูกเอ๊ย
แม่นอนอยู่นี่ไงอ่ะเล่นเกมอยู่ไม่เห็นเหรอยังไม่ทันจะได้กล่าวชื่นชมลูกสาวสุดที่รักรินเหม็นคละคลุ้งก็ช่วยเข้าจมูกอย่างจังอะไรกับลูกทำไมเหม็นอย่างเงี้ย “อรดูซิกลิ่นอะไรน่ะ” แม่ก็กวาดสายตาไปทั่วห้องก็เห็นผ้าปูที่นอนกองอยู่มุมห้องผ้าอนามัยใช้แล้ววางอยู่ตามพื้นจานข้าว 4-5 ใบวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งราขึ้นเต็มทั้งกลิ่นผ้าอนามัยทั้งกลิ่นชามข้าวเหม็นคลุ้งไปหมด
อรถึงกับเข่าอ่อนเลยในการกระทำของลูก “หนูทำไมหนูทำแบบนี้อยู่ได้ไงนี่เหม็นขนาดนี้ที่หลังผ้าอนามัยใช้แล้วหนูต้องใส่ถุงนะก่อนจะใส่ต้องเอากระดาษห่อให้มิดชิดแล้วเอาไปทิ้งถังขยะนะลูกทำอย่างนี้มันไม่ดีเลยนะลูก” อุ๊บ่นทำไมว่าเรื่องแค่นี้แหละรำคาญหนูไม่ไปทิ้งหรอกกูจะเดินไปถึงถังขยะแดดร้อนตัวดำหมด “ก็ทิ้งตอนเย็นก็ได้ลูก”
“ไม่เอา หนูไม่ทิ้งถ้าแม่ไม่ทิ้งให้หนูหนูก็จะโยนออกไปนอกหน้าต่างในโยนไปกลางถนน” อรฟังดังนั้นก็บอก “อย่าทำอย่างนั้นนะอายชาวบ้านเขาใครๆเขาก็ว่าลูกแม่น่ะดีเป็นกุลสตรีอยู่แต่บ้านไม่เที่ยวไม่เตร่ ถ้าหนูโยนออกไปมันเสียชื่อนะลูกเอาอย่างนี้นะหนูใช้แล้วก็ใส่ถังขยะในบ้านเดี๋ยวไม่พ่อก็แม่จะเอาไปทิ้งเองจานชามไม่ล้างก็เอาไปไว้ที่ในครัวแม่ล้างเองนะลูกนะ”
เป็นอันว่าคืนนั้นทั้งนางอรและนายตี๋ต้องทำความสะอาดห้องให้ลูกผ้าปูที่นอนก็ต้องตัดสินใจทิ้งเพราะว่าคราบเลือดมันแห้งกลังมาหลายวันคงจะซักไม่ออกไม่ว่าพ่อและแม่จะสอนยังไงก็ไม่ทำให้สันดานคนเปลี่ยนไปได้ยังทำอยู่แบบนั้นเรื่อยมาจนพ่อกับแม่เลิกบ่นต้องคอยเก็บคอยดูแลความสะอาดเรื่อยมาข้อดีของนางมีอย่างเดียวคือชอบอยู่บ้านไม่เที่ยวกับเพื่อน
รักสวยรักงามแต่ไม่รักดีไม่รักความสะอาดออกกำลังกายปั่นฮูลาฮูปอยู่กับบ้าน ยิ่งโตก็ยิ่งสวยบ้านของนางอุ๊ไม่มีเครื่องซักผ้าต้องซักมือเพราะว่าฐานะไม่ดีพอที่จะซื้อ นานวันเข้านางอรก็เริ่มทนไม่ไหวเพราะว่าบางวันนายตี๋ผู้เป็นพ่อกลับก่อนก็ต้องมานั่งซักผ้าซักกางเกงในให้ลูกก็กลัวลูกจะบาปก็เลยบอกให้ตี๋เลิกซักกางเกงในให้ลูก แล้วก็เรียกลูกมาสั่งสอน
“ต่อไปนี้ชุดชั้นในโดยเฉพาะกางเกงในหนูต้องซักเองนะให้พ่อซักนะมันบาปนะหนูเป็นสาวแล้วซักเองได้แล้วนะลูก” “ได้หนูทำเองก็ได้แต่ว่าพ่อต้องให้ค่าขนมหนูเพิ่มจากวันละร้อยเป็นร้อยห้าสิบได้ไหมแล้วพ่อไม่ต้องซักให้หนูอีก” “ได้สิลูก พ่อก็ตั้งใจว่าจะเพิ่มให้อยู่แล้วเพราะว่าหนูเป็นสาวแล้วเผื่อจะได้รวมเงินไว้ซื้อของสวยๆงามๆ” ปรากฏว่าเลิกให้พ่อซักกางเกงใน
แต่ใครจะคิดว่าทิ้งกางเกงในที่ใส่แล้วทุกวันตกเย็นก็ไปเรียกนางน้อยลูกไปเย็นข้างบ้านขออาศัยนั่งซ้อนรถเครื่องไปตลาดนัดวันเว้นวันนอกจากซื้อของกินของเล่นก็ซื้อกางเกงในตัวนึง 25 บาทที่เขาขายถูกๆตามตลาดนัดมาครั้งละ 2 ตัวเช้าวันนั้นแม่อรเอาขยะไปทิ้งมองลงไปในถังลงไปในปากถุงที่ยังไม่ได้ผูกเห็นกางเกงในไม่ต่ำกว่า 6 ตัว พอเอาไม้เขี่ยดูอ้างนี่มันยังกางเกงในยังใหม่ๆทั้งนั้นเลยนี่มันไม่ให้ใครซักแต่มันดันทิ้งเลยเหรอเนี่ย