นางสาววราภรณ์ สกุลวิวรรธน์
ผู้อำนวยการ
โรงเรียนบ้านมะขามเอน
ประวัติ โรงเรียนบ้านมะขามเอน
โรงเรียนบ้านมะขามเอน ตั้งขึ้นเมือวันที่ 17 พฤษภาคม 2516 โดยความร่วมมือของประชาชนในหมู่บ้านที่ 7 และ 9 ตำบลท่าเคย ซึ่งเดิมเป็นกิ่งอำเภอสวนผึ้ง และเจ้าอาวาส วัดมะขามเอน คือพระอธิการกร ในที่ดินของวัดมะขามเอน บนเนื้อที่ 11 ไร่ และได้รับความอนุเคราะห์จากประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโดยเถ้าแก่สุนทร วงษ์วัฒนกุล บริจาคให้อีก 4 ไร่ ในปี 2546 รวม 15 ไร่ โรงเรียนบ้านมะขามเอนได้เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 4 ในขณะนั้นมีนายสังข์ ศรัทธาผล ดำรงตำแหน่งเป็นครูใหญ่คนแรก จนต่อมาในปี พ.ศ.2526 จึงได้เปิดทำการสอนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านมะขามเอนมีอาคารเรียน 3 อาคาร โดยแยกเป็นอาคารแบบ ป.1 ก 1 หลัง อาคารเรียนแบบ ป.1 ข. จำนวน 1 หลัง และได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเด็กก่อนประถมศึกษาจากชมรมสายทานใจโดยคุณสัมพันธ์ มณีกาญจนเลิศ ประธานชมรม 1 หลัง โดยใช้งบประมาณประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ในปี 2540 และได้รับงบประมาณจากครอบครัวอัมพรสิทธิกุล สร้างห้องส้วมอีก 1 ห้อง โดยการประสานงานของท่าน ผู้ใหญ่วรวิทย์ และ คุณกาญจนา อาชวชาลี ในปี 2546 ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์สายทานใจ 1 หลัง งบประมาณหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท ปี 2547 ได้รับงบประมาณบริจาคจากชมรมสายทานใจ สร้างห้องน้ำ –ห้องส้วม พร้อมต่อเติมอาคารอเนกประสงค์เดิมเป็นเงิน หนึ่งแสนสี่หมื่นบาท และได้รับงบประมาณจากบริษัทมิตซุย กรุงเทพฯ บริจากสร้างห้องสมุดมิตซุยพร้อมครุภัณฑ์ และหนังสือห้องสมุดเป็นเงินแปดแสนเบาท และทำการรับมอบเมื่อวันที่ 14 ก.ค.53 โรงเรียนบ้านมะขามเอนเปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมีนักเรียนในปีการศึกษา2561 รวมทั้งสิ้น 70 คน ครู 4 คน เป็นชาย 1 หญิง 3 คน มีนายไพรัตน์ กิตติรุ่งสุวรรณ ดำรงตำแหน่งครูใหญ่เมื่อปี 2534 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นคนแรก เมื่อ 1 ตุลาคม 2544 จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2560 วันที่ 1 มีนาคม 2560 นายทำเนียบ ศรีอู๋ ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านมะขามเอน จนถึงปัจจุบัน ปรัชญา/ อุดมการณ์ โรงเรียนบ้านมะขามเอน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมาก แต่เดิมทีประสบกับปัญหา เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน คุณภาพของบุคลากร ความเอาใจใส่ต่อโรงเรียนของผู้บริหาร จึงทำให้ความศรัทธาของชุมชนที่มีต่อโรงเรียนลดลง ผู้ปกครองไม่พานักเรียนมาเข้าเรียนที่โรงเรียนเพราะครูไม่เอาใจใส่การเรียนการสอน โรงเรียนจึงต้องหันมาสร้างศรัทธาให้เกิดแก่ประชาชน ที่มีต่อโรงเรียน โดยมีแนวนโยบายในการดำเนินงาน หรือความมุ่งมั่นที่ต้องการให้เกิด คือ ๑. ส่งเสริมคุณธรรม นำวิชา ๒. พัฒนาการเรียนการสอน ๓. สุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่อาทร ๔. สัมพันธ์ประชากร ชุมชน วิสัยทัศน์ของโรงเรียนบ้านมะขามเอน “ มุ่งผลิตนักเรียน มีคุณธรรม – จริยธรรม มีความรู้ความสามารถ มีทักษะ กล้าแสดงออก โรงเรียนมีมาตรฐานตามเกณฑ์ เป็นที่ต้องการของชุมชน และท้องถิ่น ”นานาสาระ
6 เหตุผลที่ทำให้เกลียดฝน
ตั้งแต่เกิดผู้เขียนผ่านฤดูกาลทั้งสามของไทยมาแล้วหลายรอบไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน หรือฤดูหนาว แม้ว่าใครหลายคนจะเกลียดอากาศร้อนมากจนมักเอามาแซวกันว่าไทยมีแค่สามฤดูคือ หนึ่งฤดูร้อน สองฤดูร้อนและสามฤดูร้อน แต่สำหรับผู้เขียนจะมีหนึ่งฤดูเท่านั้นที่เกลียดยิ่งกว่าฤดูร้อน คือ ฤดูฝน ซึ่งฤดูฝนจะเริ่มช่วงเดือนพฤษภาคมหรือตุลาคม เป็นช่วงเปิดเทอมแรกของภาคเรียนชั้นประถมและมัธยม ด้วยเหตุนี้เองทำให้การเดินทางไปเรียนลำบากยิ่งขึ้น ชุดนักเรียนไม่แห้ง หนังสือเรียนเปียก รวมทั้งเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มบ่อยกว่าปกติ นี่อาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งนี้ทำให้ผู้เขียนเกลียดหน้าฝน เพราะมันกระทบต่อการใช้ชีวิตการเรียนมาก ๆ บทความนี้จึงขอนำเสนอเรื่อง 6 เหตุผลที่ทำให้เกลียดหน้าฝน
1.ไปไหนลำบาก ทำกิจกรรมนอกร่มไม่ได้
เมื่อฝนตกจะออกไปไหนก็เปียก แม้จะใส่เสื้อกันฝนแต่เวลาตกหนักจริง ๆเสื้อมันแทบไม่ช่วยอะไรเลย หรือต่อให้ใช้ร่มเดินกางไปก็ป้องกันฝนได้ไม่หมด แถมทำอะไรก็ไม่สะดวกเพราะมือข้างหนึ่งต้องคอยถือร่มเอาไว้ ทั้งยังมีโอกาสร่มพังสูงมากเมื่อฝนมาพร้อมพายุ ไหนจะต้องมาห่วงเรื่องร่มชอบหายเวลาวางไว้ในที่สาธารณะอีก เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะเดินทางไปเรียนด้วยรถยนตร์ส่วนตัว ส่วนใหญ่ไม่ไปรถเมล์ก็รถตู้ส่วนรวม ในด้านของผู้เขียนนั้นมีเพียงมอเตอร์ไซต์และจักรยานเท่านั้น วันไหนถ้าฝนตกขึ้นมาผู้เขียนจะรู้สึกเซ็งมาก ๆ เพราะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้วว่า วันนี้ไม่เปียกมากก็คงเปียกน้อย เมื่อตัวเปียกสิ่งที่จะตามมาคือความสกปรก ยิ่งรองเท้าผ้าใบจะรู้สึกอับๆบางทีมีกลิ่น มีคราบเลอะ การทำตัวให้แห้งก็ต้องเปลี่ยนเสื้อแล้วอาบน้ำอีกครั้ง ช่างเป็นฤดูการที่เปลืองทั้งน้ำและเสื้อผ้าในเวลาเดียวกัน แถมเสื้อผ้ายังแห้งช้าเพราะอากาศชื้นอีก อีกทั้งวิธีการอยู่ร่วมกับหน้าฝนยังยุ่งยากกว่าฤดูอื่น อย่างหน้าร้อนหากร้อนก็แค่เปิดพัดลม เปิดแอร์ กินของเย็น ถ้าเป็นหน้าหนาวก็แค่ทำตัวให้อุ่นใส่เสื้อผ้าหนาๆ นอนห่มผ้าไปเลย แต่หน้าฝนเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงความเปียกไม่ได้ นอกจากคุณต้องอยู่แต่ในบ้าน
2.ผ้าไม่แห้ง
เมื่อฝนตกเสื้อผ้าจะเปียก ตอนแรกผู้เขียนไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ผ้าเปียกก็ใส่ไปทั้งอย่างนั้นเดี๋ยวก็แห้ง แต่แม่ของผู้เขียนบอกให้เปลี่ยนเดี๋ยวจะเป็นโรคปอดบวมเอา ผู้เขียนจึงจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย หรือพยายามไม่ออกไปข้างนอกเพราะขี้เกียจเปลี่ยนชุดบ่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้พาลรู้สึกหงุดหงิดกับฤดูฝนไปเลยบางครั้งก็มีกรณีที่ต้องการให้ผ้าแห้งไวๆอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นปกติซักเช้า ตากเที่ยง เย็นก็ใส่ได้แล้ว แต่เมื่อฝนตกจึงต้องตากนานขึ้นข้ามคืน รอรับแสงน้อย ๆ ที่ไม่รู้จะมีไหม แล้วยังต้องมานั่งพะวงว่าฝนจะตกแล้วต้องรีบเก็บเสื้ออีก
3.น้ำท่วม
ข้อนี้จะโทษหน้าฝนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆด้วย ถึงอย่างนั้น การมีน้ำขังหรือท่วมเพราะฝนตกก็แย่อยู่ดี เพราะทำให้ลำบากในการเดินทาง จะเดินเท้าก็ต้องค่อยหามุมและเส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะข้ามแอ่งน้ำไปได้หรือถ้าน้ำท่วมมิดทางก็ต้องทำใจเดินฝ่าน้ำสกปรกไปทั้งแบบนั้น ค่อยกลับมาล้างที่บ้านทีหลัง เวลาขี่รถมอเตอร์ไซต์เองก็ลำบกเช่นกัน เพราะต้องคอยดูคอยหลบไม่ให้ไปหยิบโดยแอ่งน้ำ กลัวว่าจะกระจายออกรอบข้างโดนคนอื่นเปียกไปด้วย ดีไม่ดีอาจมีหลุมอยู่ใต้น้ำขับตกหลุมเกิดอุบัติเหตุรถล้มอีก ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ที่ขี่รถจักรยานยนต์ในขณะฝนตก ตอนนั้นผู้เขียนกำลังขับกลับบ้านจากโรงเรียนในเส้นทางประจำ ผู้เขียนเห็นแล้วว่ามีแอ่งน้ำอยู่ข้างหน้าก็ชะลอความเร็วลงขับไปช้า ๆ แต่จู่ ๆ กลับเสียหลักรถล้ม รถกับคนขับไถลไปคนละทางเพราะตกหลุมเจ้ากรรมนั่น ดีที่ไม่มีรถขับตามมา ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุต่อกันเป็นทอดๆ นับแต่นั้นเวลาเจอแอ่งน้ำจะกลัวต้องเปลี่ยนไปขับอีกเลนหนึ่งเลยหากทำได้ แม้เวลาขับรถยนต์เราจะไม่เปียก แต่ก็ต้องคอยระวังไม่ไห้แอ่งน้ำไปโดยรถข้างๆที่ขับสวนมา หรือคนที่เดินอยู่ริมถนน เรียกได้เวลาขับรถกลางฝนชวนปวดหนักกว่าขับรถปกติมาก ๆ
4.รถติด
สืบเนื่องจากน้ำท่วมและอุบัติเหตุ ซึ่งจะทำให้การเดินทางชะลอตัวลงด้วย ทำให้รถค่อย ๆ ติดตามๆกันมาเป็นแถวยาว ขับรถยนต์แม้ไม่เปียกยามฝนตกแต่ต้องแลกมาด้วยรถติดแทน ตรงข้ามกับมอเตอร์ไซต์แม้จะเปียกแต่มีขนาดเล็กกว่าจึงมีช่องทางให้แทรกผ่านถนนได้มากกว่ารถยนต์
5.เสียงดัง
เสียงที่ว่านี้คือเสียงฝนตกกระทบหลังคาบ้าน หรือกระทบพื้น หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เกิดเสียงดังซึ่งมาพร้อมกับฝนอย่างฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หากฝนตกเบา ๆ มักเป็นเสียงที่ฟังสบายผ่อนคลาย เป็นเพลงกล่อมนอนชั้นดี แต่มักตกช่วงที่นอนไม่ได้อย่างตอนกำลังฟังอาจารย์สอน สำหรับผู้เขียนแล้วเสียงนี้เป็นทำลายสติสัมปชัญญะ พอจะแก้ด้วยการหาหูฟังมาใส่ฟังเพลงกลบเสียงฝน ตอนนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้มีหูฟังคุณภาพดีมาก เสียงฝนจึงลอดดังเข้าไปรบกวนเพลงถึงในหู หรือบางทีกำลังดูทีวีอยู่ตามปกติ พอฝนตกจะกลบเสียงทีวีจนหมด ผู้เขียนพยายามเปิดเสียงจนสุดแล้วก็ยังสู้เสียงฝนไม่ได้อยู่ดี จนจำใจปิดทีวีแล้วไปนอน หรือบางทีมีรายการที่อยากดูก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งใกล้ๆจอมากขึ้น พร้อมคิดหงุดหงิดในใจว่าจะมาตกอะไรตอนนี้กัน
6.สัญญาณกาก
บ่อยครั้งที่ฝนตกสัญญามือถือมักจะล่มหรือช้ากว่าปกติเสมอ ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร บางทีเมฆฝนอาจจะไปรบกวนสัญญาหรือบางทีคนอาจเบื่อไม่รู้จะทำอะไรตอนฝนตกเลยแห่กันมือถือมากขึ้นจนอิเทอร์เน็ตช้า ซึ่งผู้เขียนเป็นหนึ่งในคนที่เวลาฝนตกจะเบื่อจนต้องเปิดหาอะไรดูบนมือถือ แต่ก็มักจะประสบปัญหาเน็ตช้าอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายแล้วในเมื่อเราไม่สามารถสั่งหยุดฝนตามใจได้ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กันมัน วิธีของผู้เขียนคือถ้าฝนตกก็ปล่อยให้ตกไปไม่ต้องออกจากบ้าน จากนั้นก็ไปนอนสักงีบถือเอาเวลานั้นเป็นช่วงพักผ่อน หรือถ้าอยู่นอกบ้านแล้วเกิดฝนตกก็จะหาร้านใกล้ๆแวะเข้าไปเดินเล่นหรือขอหลบฝนซักหน่อย พยามยามไม่สนใจว่ามันจะหยุดตอนไหน ก็เหมือนกับเรื่องแย่ๆทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ผ่านมาแล้วผ่านไป และมีคำกล่าวที่ว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ